วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

Diary No. 3 , Wednesday 27 January, 2559

  Diary No. 3 วิชา : การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
Subject : Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood 

Instructor : Trin Jamtin 

Wednesday, January  27  , 2559

Time 08.30 - 12.30 .

 เนื้อหาความรู้ที่ได้รับ 
ประเภทของเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ


แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
 

ตัวอย่างเด็กที่มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา
Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ
Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า “เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก” เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการ รักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน  Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์ อย่างเป็นทางการ และยังไม่มีประสบการณ์ในการ
ผ่า ตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้ และ ใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่ มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน


สาเหตุของการเรียนช้า

1.ภายนอก 
  • เศรษฐกิจของครอบครัว
  • การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
  • สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
  • การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
  • วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ 

 2. ภายใน
  • พัฒนาการช้า
  • การเจ็บป่วย

เด็กปัญญาอ่อน

- ระดับสติปัญญาต่ำ

- พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
- มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
- อาการแสดงก่อนอายุ 18

พฤติกรรมการปรับตน
•การสื่อความหมาย
•การดูแลตนเอง
•การดำรงชีวิตภายในบ้าน
•การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม
•การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
•การควบคุมตนเอง
•การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
•การใช้เวลาว่าง
•การทำงาน
•การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น


เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม

1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
- ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
- ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น

2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
•ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเอ
ในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
•กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental
Retardation)

3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
- พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
- สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความ
ละเอียดลออได้

- เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)

4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
•เรียนในระดับประถมศึกษาได้
•สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้•เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)


ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา

•ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
•ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
•ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
•ทำงานช้า
•รุนแรง ไม่มีเหตุผล
•อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
•ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
สาเหตุ
•ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21
•ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)

อาการ
•ศีรษะเล็กและแบน คอสั้น
•หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
•ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
•ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
•เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
•ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
•มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
•เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ 
•ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง

•มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
•บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
•อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
•มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
•อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง

2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
(Children with Hearing Impaired )

หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยินเป็นเหตุ ให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจนมี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก

เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้  4 กลุ่ม



1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB

เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ

2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูโ
- จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
- มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ

3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกับ
- มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด

4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
- การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด


เด็กหูหนวก
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
•ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
•ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
•พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
•พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
•พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
•เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
•รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
•มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย

3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง

- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท

เด็กตาบอด
- เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา

เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น

- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
•เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
•มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
•มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
•ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
•เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
•ตาและมือไม่สัมพันธ์กันมีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต

ประมวลภาพระหว่างเรียน















Assessment.


Skills. (ทักษะที่ได้รับ)

  • ทักษะการตอบคำถาม

Application. ( การนำไปใช้)

  • จะได้รู้ความต้องการของเด็กแต่ละประเภท และจะได้จัดกิจกรรมให้เด็กมีความต้องการพิเศษได้ถูกต้องเหมาะสมตามวัยและพัฒนาการของเด็ก

Classroom Atmosphere. (บรรยากาศในห้องเรียน)
  • อากาศเย็นสบายดี  สื่อเทคโนโลยีใช้งานได้ดีิ ห้องสะอาดเรียบร้อย


Technical Education. (เทคนิคการสอน)
  • มีการเสริมแรงให้นักศึกษาเป็นระยะ ใครคุยอาจารย์ก็จะเดินเข้าไปใกล้ๆ
  • มี EYE CONTACT กับนักศึกษา
  • พูดด้วยน้ำเสียงหลายโทน เป็นเทคนิคการ เร้าความสนใจของผู้เรียน
  • มีการกระตุ้นผู้เรียนให้มาเรียนไว ด้วยการแจกดาวเด็กดี


Self-Assessment. (ประเมินตนเอง)
  • แต่งตัวเรียบร้อย ตั้งใจเรียนและตอบคำถามมาเรียนตรงเวลา

Friend-Assessment. (ประเมินเพื่อน)
  • เพื่อนตั้งใจเรียน และตอบคำถามได้ดี



Teacher-Assessment. (ประเมินอาจารย์)
  • อาจารย์ให้เทคนิคในการจัดกิจกรรมได้ดี ทั้งยังมีการยกตัวอย่างกิจกรรมที่เข้าใจง่าย สามารถนำไปใช้ได้ในอนาคต และมีการฝึกให้นักศึกษาเกิดความรู้และคิดด้วยตนเอง 

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

Diary No. 2 , Wednesday 20 January, 2559

  Diary No. 2  วิชา : การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
Subject : Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood 

Instructor : Trin Jamtin 

Wednesday, January  20  , 2559


Time 08.30 - 12.30 .

วันนี้เรียนเรื่อง เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
   เนื้อหาความรู้ที่ได้รับ 



เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ

( Early Childhood with special needs )

  • ความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
  • 1. ทางการแพทย์  มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า “เด็กพิการ” หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสีย สมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ
    2. ทางการศึกษา ให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า หมายถึง
    เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้ และการประเมินผล

สรุปได้ว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษหมายถึง

•เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการให้การช่วยเหลือ และการสอนตามปกติ •มีสาเหตุจากสภาพความ บกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์
•จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ การบำบัด และฟื้นฟู
•จัดการเรียนการสอนที่เหมาะกับลักษณะ และความต้องการของเด็กแต่ละบุคล
พฤติกรรมและพัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

พัฒนาการ
•การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะต่างๆรวมทั้งตัวบุคคล
•ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
•เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กปกติในวัยเดียวกัน
•พัฒนาการล่าช้าอาจพบเพียงด้านใดด้านหนึ่ง หลายด้าน หรือทุกด้าน
•พัฒนาการล่าช้าในด้านหนึ่งอาจส่งผลให้พัฒนาการในด้านอื่นล่าช้าด้วยก็ได้
ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการเด็ก
•ปัจจัยทางด้านชีวภาพ
•ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมก่อนคลอด
•ปัจจัยด้านกระบวนการคลอด
•ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมหลังคลอด

สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ

1. พันธุกรรม  เด็กจะมีพัฒนาการล่าช้ามาตั้งแต่เกิดหรือสังเกตได้ชั่วระยะไม่นานหลังเกิด มักมีลักษณะผิดปกติแต่กำเนิดร่วมด้วย



Cleft Lip / Cleft Palate



ธาลัสซีเมีย

2. โรคของระบบประสาท  เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการส่วนใหญ่มักมีอาการหรืออาการแสดงทางระบบประสาทร่วมด้วย ที่พบบ่อยคืออาการชัก

3. การติดเชื้อ  การติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย ศีรษะเล็กกว่าปกติ อาจมีตับม้ามโต การได้ยินบกพร่อง ต้อกระจก นอกจากนี้การติดเชื้อรุนแรงภายหลังเกิด เช่น สมองอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ เป็นสาเหตุที่พบได้บ้าง

4. ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอลิซึม  โรคที่ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขไทย คือ ไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำ

5. ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด การเกิดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย และภาวะขาดออกซิเจน

6. สารเคมี ตะกั่วเป็นสารที่มีผลกระทบต่อเด็กและมีการศึกษามากที่สุด มีอากาศซึมเศร้า เคลื่อนไหวช้า ผิวดำหมองคล้ำเป็นจุดๆ ภาวะตับเป็นพิษ  ระดับสติปัญญาต่ำ


แอลกอฮอล์
น้ำหนักแรกเกิดน้อย  มีอัตราการเพิ่มน้ำหนักหลังเกิดน้อย ศีรษะเล็ก  พัฒนาการของสติปัญญาก็มีความบกพร่อง เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์

Fetal alcohol syndrome, FAS
•ช่องตาสั้น  ร่องริมฝีปากบนเรียบ ริมฝีปากบนยาวและบาง หนังคลุมหัวตามาก จมูกแบน
ปลายจมูกเชิดขึ้น

นิโคติน
   น้ำหนักแรกเกิดน้อย ขาดสารอาหารในระยะตั้งครรภ์ เพิ่มอัตราการตายในวัยทารก สติปัญญาบกพร่อง สมาธิสั้น พฤติกรรมก้าวร้าว มีปัญหาด้านการเข้าสังคม


7. การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการขาดสารอาหาร

8. สาเหตุอื่นๆ

อาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
 - มีพัฒนาการล่าช้าซึ่งอาจจะพบมากกว่า 1 ด้าน ปฏิกิริยาสะท้อน (primitive reflex) ไม่หายไป  แม้จะถึงช่วงอายุที่ควรจะหายไป

แนวทางการวินิจฉัยเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ

1. การซักประวัติ
•โรคประจำตัว โรคทางพันธุกรรม 

•การเจ็บป่วยในครอบครัว 
•ประวัติฝากครรภ์ 
•ประวัติเกี่ยวกับการคลอด 
•พัฒนาการที่ผ่านมา 
•การเล่นตามวัย การช่วยเหลือตนเอง 
•ปัญหาพฤติกรรม ประวัติอื่นๆ

** เมื่อซักประวัติแล้วจะสามารถบอกได้ว่า

•ลักษณะพัฒนาการล่าช้าเป็นแบบคงที่ หรือถดถอย 

•เด็กมีระดับพัฒนาการช้าหรือไม่ อย่างไร อยู่ในระดับไหน 
•มีข้อบ่งชี้ว่ามีสาเหตุจากโรคทางพันธุกรรมหรือไม่ 
•สาเหตุของความบกพร่องทางพัฒนาการนั้นเกิดจากอะไร 
•ขณะนี้เด็กได้รับการช่วยเหลือและฟื้นฟูอย่างไร

2. การตรวจร่างกาย

•ตรวจร่างกายทั่วๆไปและการเจริญเติบโต 

•ภาวะตับม้ามโต 
•ผิวหนัง 
•ระบบประสาทและวัดรอบศีรษะด้วยเสมอ 
•ดูลักษณะของเด็กที่ถูกทารุณกรรม (child abuse) 
•ระบบการมองเห็นและการได้ยิน

3. การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ

4.การประเมินพัฒนาการ  
การประเมินแบบไม่เป็นทางการ

  การประเมินที่ใช้ในเวชปฏิบัติ
•แบบทดสอบ Denver II
•Gesell Drawing Test
•แบบประเมินพัฒนาการเด็กตามคู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กอายุแรกเกิด - 5 ปี สถาบันราชานุกูล


ประมวลภาพระหว่างเรียน









Assessment.


Skills. (ทักษะที่ได้รับ)

  • ทักษะการตอบคำถาม

Application. ( การนำไปใช้)

  • จะได้รู้ความต้องการของเด็กแต่ละประเภท และจะได้จัดกิจกรรมให้เด็กมีความต้องการพิเศษได้ถูกต้องเหมาะสมตามวัยและพัฒนาการของเด็ก

Classroom Atmosphere. (บรรยากาศในห้องเรียน)
  • อากาศเย็นสบายดี  สื่อเทคโนโลยีใช้งานได้ดีิ ห้องสะอาดเรียบร้อย


Technical Education. (เทคนิคการสอน)
  • มีการเสริมแรงให้นักศึกษาเป็นระยะ ใครคุยอาจารย์ก็จะเดินเข้าไปใกล้ๆ
  • มี EYE CONTACT กับนักศึกษา
  • พูดด้วยน้ำเสียงหลายโทน เป็นเทคนิคการ เร้าความสนใจของผู้เรียน
  • มีการกระตุ้นผู้เรียนให้มาเรียนไว ด้วยการแจกดาวเด็กดี


Self-Assessment. (ประเมินตนเอง)
  • แต่งตัวเรียบร้อย ตั้งใจเรียนและตอบคำถามมาเรียนตรงเวลา

Friend-Assessment. (ประเมินเพื่อน)
  • เพื่อนตั้งใจเรียน และตอบคำถามได้ดี



Teacher-Assessment. (ประเมินอาจารย์)
  • อาจารย์ให้เทคนิคในการจัดกิจกรรมได้ดี ทั้งยังมีการยกตัวอย่างกิจกรรมที่เข้าใจง่าย สามารถนำไปใช้ได้ในอนาคต และมีการฝึกให้นักศึกษาเกิดความรู้และคิดด้วยตนเอง 



วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559

Diary No. 1 , Wednesday 13 January, 2559

  Diary No. 1  วิชา : การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
Subject : Inclusive Education Experiences Management for Early Childhood 



Instructor : Trin Jamtin 


Wednesday, January  13  , 2559

Time 08.30 - 12.30 .
 เจอกันครั้งแรกอาจารย์แจก Course Syllabus อาจารย์ได้ชี้แจงแนวการสอน และแจกใบบันทึกเข้าเรียนให้กับนักศึกษา และบอกเกณฑ์การตัดเกรด ชี้แจงส่วนของคะแนนเก็บในเทอมนีี้  
   โดยแบ่งดังนี้
      10 คะแนน -  จิตพิสัย
      20 คะแนน - แฟ้มสะสมผลงามอิเล็กทรอนิค (บล็อค)
      20 คะแนน - งานเดี่ยว
      20 คะแนน - งานกลุ่ม 
      30 คะแนน - Final 15 , Midterm 15 

       บัตรบันทึกการเข้าเรียน 
      



Assessment.


Classroom Atmosphere. (บรรยากาศในห้องเรียน)
  • อากาศเย็นสบายดี  สื่อเทคโนโลยีใช้งานได้ดีิ ห้องสะอาดเรียบร้อย


Technical Education. (เทคนิคการสอน)
  • มี EYE CONTACT กับนักศึกษา
  • พูดด้วยน้ำเสียงหลายโทน เป็นเทคนิคการ เร้าความสนใจของผู้เรียน
  • มีการกระตุ้นผู้เรียนให้มาเรียนไว ด้วยการแจกดาวเด็กดี


Self-Assessment. (ประเมินตนเอง)
  • แต่งตัวเรียบร้อย ตั้งใจเรียนและตอบคำถามมาเรียนตรงเวลา

Friend-Assessment. (ประเมินเพื่อน)
  • เพื่อนตั้งใจเรียน และตอบคำถามได้ดี



Teacher-Assessment. (ประเมินอาจารย์)
  • อาจารย์อธิบายและปรับทัศคติของนักศึกษา ให้นักศึกษามองเด็กพิเศษให้เหมือนกับเด็กปกติทั่วไป และสอนไม่ให้นักศึกษารังเกียจเด็กประเภทนี้ อาจารย์โน้วน้ามนักศึกษาโดยการเล่าประสบการณ์ตรงของอาจารย์ที่ได้อยู่กับเด็กพิเศษ ให้นักศึกษาฟัง